
- หลงรักการ Work From Home ก็เลยคิดว่าคนอื่นน่าจะชอบเหมือนกัน
- Global warming เป็นเรื่องร้ายแรง คนอื่นก็น่าจะเห็นปัญหานี้เหมือนกัน
- ชอบเที่ยวลาว ใกล้และถูก ก็เลยคิดว่าคนไทยน่าจะชอบเที่ยวลาวด้วย
- คนที่ชอบกินอาหารญี่ปุ่น มักคิดว่าคนอื่นก็ชอบกินอาหารญี่ปุ่นด้วย
ถ้าคุณชอบ A แล้วคิดว่าคนอื่นก็น่าจะชอบ A เหมือนกัน
ระวังให้ดีนี่คือหลุมพรางที่เรียกว่า “False-Consensus Effect”
False-Consensus Effect: มายาคติที่ว่าใครๆ ก็เห็นด้วยกับเรา
False-Consensus Effect คือ มายาคติทางความคิดที่เรามักทึกทักไปเองว่า “คนอื่นน่าจะคิดเหมือนกันกับเรา” น่าจะมี ”คนที่คิดเหมือนกัน” (Like-minded persons) กับเราจำนวนไม่น้อย
เป็น “มายาคติ” เพราะข้อสรุปที่ได้ มักไม่ได้มาจากการสำรวจเก็บข้อมูลหรือเรื่องที่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้ว
เรื่องร้ายเข้าไปใหญ่คือ เมื่อค้นพบว่าใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับเรา…เรามักเผลอตีตราคนกลุ่มนั้นใน “แง่ลบ”
- หัวโบราณบ้าง / ผิดปกติบ้าง / ไร้วิสัยทัศน์บ้าง / ไร้อารมณ์ขันบ้าง / มองเป็นศัตรูบ้าง / ด่าทอว่าไม่ฉลาดเสียดายความรู้บ้าง
บางกรณี เลยเถิดถึงขั้นมองว่าความคิดตัวเองสูงส่งกว่า และด้อยค่าคนที่เห็นต่างเลยทีเดียว
False-Consensus Effect เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ตั้งแต่ยุคโบราณ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะเข้าข้าง “การยอมรับเป็นเอกฉันท์” (Unanimity) ของตัวเอง ยิ่งมีคนเห็นด้วยกับเรามากเท่าไร ยิ่งมีพวกพ้องมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมีทรัพยากรมากขึ้นตาม และนั่นหมายถึงโอกาสการมีชีวิตรอดในธรรมชาติมากขึ้นด้วยความร่วมมือช่วยเหลือกัน
นอกจากนี้ เวลาเราสงสัยว่า “คนอื่นจะคิดเหมือนเราไหม?” คนกลุ่มแรกที่เราวิ่งไปหาเพื่อสอบถาม มักจะเป็นคนใกล้ตัวที่มีความคล้ายคลึง (Similarity) กับคุณ ด้วยเหตุผลความสะดวกและวงสังคมในตอนนั้น ซึ่งคำตอบที่ได้ ก็มักจะเป็นไปในทำนองเห็นด้วยซะส่วนใหญ่ (คนคล้ายกัน คิดเหมือนกัน)
ยังเกี่ยวข้องในแง่ของ “Self-Esteem” วิธีหนึ่งในการรู้สึกเคารพชมชอบตัวเองคือการคิดว่า คนอื่นส่วนใหญ่แชร์ความคิดคล้ายกันกับเรา หรือก็คือ ความคิดของคุณ “เป็นที่ยอมรับ” ของคนอื่นนั่นเอง
False-Consensus Effect รอบตัวเรา
ด้วยคาแรคเตอร์ของหลุมพรางทางจิตวิทยานี้ เราจะสังเกตว่ามันเกิดขึ้นได้กับทุกเรื่องในรอบตัวเราเลยก็ว่าได้
คนที่ชื่นชอบ Work From Home ทำงานที่บ้าน ก็มักจะคิดว่า ด้วยสถานการณ์ยุคโควิดแล้ว คนอื่นก็น่าจะชอบ WFH เหมือนกัน
- ไม่ต้องเสียเงิน-เสียเวลาเดินทาง
- เซฟตัวเองจากโควิด-19
- อยู่กับหมาแมว อยู่กับครอบครัว สุขใจดี
มีดีตั้งขนาดนี้ ใครล่ะจะไม่ชอบ? แต่ความจริงแล้ว อาจไม่ใช่คนส่วนใหญ่ที่ชอบ WFH ผลสำรวจจาก PwC ในหมู่ Senior Management เผยว่า ผู้บริหารเหล่านี้ (ส่วนใหญ่ Baby Boomers) โหวตให้คนกลับมาทำงานที่ออฟฟิศหลังโควิด-19 มากถึง 3-5 วัน/สัปดาห์ (แทบไม่ต่างจากเดิม)
เนื้อแท้คุณภาพของสินค้า มาจากการวิจัยของฝ่าย R&D ในองค์กร ในมุมมองฝ่ายวิจัยที่ทุ่มงบประมาณหลายร้อยล้านกว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ออกมาก็มักคิดว่า
“สินค้าดีเยี่ยมขนาดนี้…ลูกค้าต้องซื้อแน่!!”
แต่ลูกค้าก็อาจไม่ซื้อ (แม้มองว่าคุณภาพดีกว่าก็ตาม) เพราะยังมีปัจจัยอื่นรอบด้าน เช่น ราคา / แบรนด์ / ความเคยชิน
ภาวะโลกร้อน (Global warming) คืออีกกรณีคลาสสิคที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ชัดเจนมาก
- UN ออกรายงาน Code Red ภาวะโลกร้อนถึงจุดวิกฤติแล้ว
- เมืองใหญ่ทั่วโลกเริ่มได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
- พื้นที่เกษตรกรรมน้อยลง สัตว์ทะเลน้อยลง วิกฤติอาหารรออยู่ตรงหน้า
และอีกมากมาย…นักสิ่งแวดล้อมหรือใครก็ตามที่อยู่วงการนี้ มักเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่า ถ้านำข้อมูลความจริงเหล่านี้ออกไปสู่สาธารณชน…ผู้คนต้อง “ซื้อ” ไอเดียนี้แน่นอน สังคมจะเกิดการ “เปลี่ยนพฤติกรรม” ที่รักษ์โลกมากขึ้นอย่างมโหฬาร
แต่ความจริงแล้ว มีผู้คนอีกมากในโลกที่ยังไม่รู้ความจริงเชิงลึกเหล่านี้ และหลายคนต่อให้รู้…ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมแบบขวานผ่าซากได้ โดยให้เหตุผลว่า ดูเป็นเรื่องไกลตัว หรือ ไม่ใช่คอขาดบาดตาย ปากท้องสำคัญกว่า
หรือแม้แต่ผู้นำรัฐบาลหลายประเทศที่ยังไม่สามารถออกนโยบายรักษ์โลกอย่างเป็นรูปธรรมได้ด้วยข้อจำกัดทางการเมืองต่างๆ
ในโลก “โซเชียลมีเดีย” เราน่าจะคุ้นเคยกันดีว่า มีคนตั้งโพสเพื่อต่อว่าวิพากษ์วิจารณ์คนๆ หนึ่งถึงบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กลายเป็นว่าคนตั้งโพสกลับถูก “ทัวร์ลง” เสียเอง
วิธีป้องกัน False-Consensus Effect
ระวังคำว่า “ก็น่าจะ” ให้ดี เพราะมันอาจมาจากการคิดเองเออเอง วิธีแก้คือ ให้ออกไปสำรวจเก็บข้อมูลหรือค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อน วิธีทดสอบตลาดคร่าวๆ ทำได้ง่ายๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อดูความคิดเห็นของผู้คน
ในมุมการตลาด อย่าพึ่งทึกทักเองจากห้องประชุม ให้ออกไป “คุยกับลูกค้า” ทำการสำรวจตลาดอย่างจริงจัง(และไม่อคติ) ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเค้าคิดและต้องการอะไรกันแน่?
False-Consensus Effect ยังเกิดได้ง่ายกับกลุ่มลูกค้า “ผู้จงรักภักดี” (Loyalty customers) ที่บริษัทอาจเผลอคิดไปว่า “ผลิตอะไรมาก็ซื้อหมด” ซึ่งไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป ถ้าสินค้าไม่ดีจริง พวกเค้าก็พร้อมแบน
ในการทำงาน…โดยเฉพาะผู้บริหาร มักมี “คนใกล้ชิดรอบตัว” ที่เห็นดีเห็นงามไปแทบทุกอย่าง แม้จะมาจากความตั้งใจดี (Goodwill) แต่ผู้บริหารก็ควรออกไปหาข้อคิดเห็นนอกวงสังคมตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด False-Consensus Effect
ให้ “พัฒนาตัวเอง” อยู่เสมอ เพราะ False-Consensus Effect ยังเกิดกับเหยื่อที่มีประวัติผลงานสำเร็จในอดีต จนประเมินตัวเองสูงเกินไปว่าอนาคตก็น่าจะสำเร็จด้วย กลายเป็นไม่พัฒนาตัวเองเท่าที่ควร เพิกเฉยความก้าวหน้าของคู่แข่งจนปรับตัวไม่ทัน
และสุดท้าย ถ้าเราค้นพบว่าคนอื่นดันไม่เห็นด้วยกับเรา ไม่ซื้อไอเดียของเรา (โดน False-Consensus Effect เข้าให้แล้ว) …อย่าพึ่งมองเค้าในแง่ร้าย แต่ให้ย้อนกลับมาวิจารณ์ (Reverse criticism) ความคิดตัวเองก่อน อาจมีบางอย่างที่ไม่เวิร์คจริงๆ ก็ได้
ในทุกยุคสมัย กลุ่มคนที่ออกมาเดินนำและทำการเปลี่ยนโลก ลึกๆ ในใจล้วนต้องเชื่อมั่นว่าตัวเองจะมีผู้ตามมหาศาลที่พร้อมจะเชื่อและเดินไปด้วยกันอยู่แล้ว
ประเด็นจึงอยู่ที่การหาคนเหล่านั้นให้เจอต่างหาก ถ้าเราหาผู้ตามเหล่านี้เจอ โอกาสก็รออยู่ข้างหน้า
ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/
อ้างอิง
- https://www.verywellmind.com/what-is-the-false-consensus-effect-2795030
- https://www.usertesting.com/blog/false-consensus-effect
- https://www.spsp.org/news-center/blog/pelham-false-consensus
- https://study.com/academy/lesson/false-consensus-effect-definition-example.html#:~:text=Examples%20of%20false%20consensus%20effect,that%20all%20of%20your%20friends